พระไตรปิฎก: ข้อควรรู้เบื้องต้น
คัมภีร์ที่บรรจุพุทธพจน์ คือพระธรรมวินัย มีชื่อที่ชาวตะวันตกรู้จักกัน
โดยทั่วไปว่า Pali Canon หรือ Buddhist Canon ทั้งนี้ก็เพราะว่า เป็นที่
ประมวลหลักการพื้นฐานของศาสนา (-canon) ซึ่งในที่นี้เกี่ยวกับพระพุทธ-
ศาสนา (=Buddhist) และข้อความในคัมภีร์นี้บันทึกด้วยภาษาบาลี (=Pali)
แต่คำบาลีที่เรียก พระไตรปิฎก ก็คือ ติปิฎก จากคำว่า ติ "สาม" + ปิฎก
"ตำรา, คัมภีร์, หรือ กระจาด (อันเป็นภาชนะบรรจุของ)" ซึ่งตามตัวอักษรใช้
หมายถึงคำสอนหมวดใหญ่ ๓ หมวด คือ
พระวินัยปิฎก ได้แก่ประมวลระเบียบข้อบังคับของบรรพชิตที่
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้สำหรับภิกษุและภิกษุณี
พระสุตตันตปิฎก ได้แก่ประมวลพระสูตรหรือคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรง
แสดงยักเยื้องไปต่างๆ ให้เหมาะกับบุคคลสถานที่เหตุการณ์ มีเรื่องราวประกอบ
พระอภิธรรมบิฎก ได้แก่ประมวลคำสอนที่เป็นเนื้อหาหรือหลักวิชา
ล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคลหรือเหตุกรณ์ ไม่มีเรื่องราวประกอบ
อันที่จริง พระไตรปิฎกมิใช่คัมภีร์เพียงเล่มเดียว แต่เป็นคัมภีร์ชุดใหญ่
ที่มีเนื้อหาถึง ๘๔.... พระธรรมขันธ์ ฉบับพิมพ์ด้วยอักษรไทยนิยมจัดแยก
เป็น ๔๕ เล่ม เพื่อหมายถึงระยะเวลา ๔๕ พรรษาแห่งพุทธกิจ นับรวมได้ถึง
๒๒๓๗๙ หน้า (ฉบับสยามรัฐ) หรือเป็นตัวอักษรประมาณ ๒๔,๓๐๐,๐๐๐
ตัว แต่ละปิฎกมีการจัดแบ่งหมวดหมู่บทตอน ซอยออกไปมากมายซับซ้อน
ภาคหนึ่ง
ความสำคัญของพระไตรปิฎก
ความสำคัญของพระไตรปิฎกต่อการธำรงรักษาพระศาสนานั้น เราจะ
เข้าใจได้ชัดยิ่งขึ้นเมื่อมองเห็นความสัมพันธ์ของพระไตรปีฎกกับส่วนอื่นๆ
ของพระพุทธศาสนา
ㆍ พระไตรปฎกกับพระรัตนตรัย
เหตุผลหลักที่พระไตรปิฎกมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือ เป็นที่รักษา
พระรัตนตรัย ซึ่งเป็นไตรสรณะของชาวพุทธทุกคนเช่นกัน ดังนี้
(๑) พระไตรบิฎกเป็นที่สถิตของพระพุทธเจ้า อย่างที่ได้บอกตั้งแต่ต้น
แล้วว่า ธรรมวินัยจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว
ง่นี้ ชาวพุทธจึงยังคงสามารถเข้าเฝ้าพระศาสดาในพระไตรปิฎกได้ แม้
พระองค์จะล่วงลับไปกว่า ๒,.๕๐๐ ปีแล้วก็ตาม
(๒) พระไตรปิฎกทำหน้าที่ของพระธรรม เรารู้จักพระธรรมวินัย คือ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎก พระธรรมวินัยนั้น เราเรียกสั้นๆ
ว่า พระธรรม เวลาเราจะแสดงอะไรเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรม เราก็มักใช้
พระไตรปิฎกเป็นเครื่องหมายของพระธรรม
(๓) พระไตรปีฎกเป็นที่รองรับพระสงฆ์ พระสงฆ์นั้นเกิดจากพุทธบัญญัติ
ในพระไตรปิฎก หมายความว่า พระภิกษุทั้งหลายที่รวมเป็นภิกขุสังมะคือ
ภิกษุสงฆ์นั้น บวชขึ้นมาและอยู่ได้ด้วยพระวินัย
วินัยปิฎกเป็นที่บรรจุไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ ติกา ที่รักษาไว้ซึ่งภิกขุสังฆะ
ส่วนสังมะนั้นก็ทำหน้าที่เป็นผู้ที่จะรักษาสืบทอดพระศาสนา สังฆะจึงผูกพัน
เนื่องอยู่ด้วยกันกับพระไตรปิฎก
รวมความว่า พระรัตตรัย ต้องอาศัยพระไตรปิฎกเป็นที่ปรากฏตัวแก่
ประชาชนชาวโลก เริ่มตั้งแต่พุทธศาสนิกชนเป็นต้นไป พระไตรปิฎก จึงมี
ความสำคัญในฐานะเป็นที่ปรากฏของพระรัตนตรัย ดังนั้น การธำรง
พระไตรปิฏกจึงเป็นการธำรงไว้ซึ่งพระรัตนตรัย ซึ่งก็คือการธำรงรักษา
พระพุทธศาสนา
* พระไตรปิฎกกับพุทธบริษัท ๔
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า พระองค์จะปรินิพพานต่อเมื่อพุทธบริษัท ๔ คือ
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายทั้งปวง คือ พระภิกษุ ทั้งเถระ ทั้ง
มัชฌิมะ ทั้งนวกะ ภิกษุณีก็เช่นเดียวกัน พร้อมทั้งอุบาสก อุบาสิกา ทั้งที่ถือ
พรหมจรรย์ และที่เป็นผู้ครองเรือนทั้งหมด ต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะรักษา
พระศาสนาได้ คือ
(๑) ต้องเป็นผู้มีความรู้ เข้าใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ดี
และประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องตามคำสอน
(๒) นอกจากรู้เข้าใจเอง และปฏิบัติได้ดีแล้ว ยังสามารถบอกกล่าว
แนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้ด้วย
(๓) เมื่อมีปรัปวาทเกิดขึ้น คือ คำจ้วงจาบสอนคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยน
จากพระธรรมวินัย ก็สามารถชี้แจงแก้ไขได้ด้วย
ตอนที่พระองค์จะปรินิพพานนั้น มารก็มากราบทูลว่า เวลานี้พุทธ-
บริษัท ๔ มีคุณสมบัติพร้อมอย่างที่พระองค์ได้ตรัสเหมือนกับเป็นเงื่อนไขไว้
แล้ว พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นอย่างนั้น จึงทรงรับที่จะปรินิพพาน
โดยทรงปลงพระชนมายุสังขาร
พุทธดำรัสนี้ ก็เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับ
พุทธบริษัททั้ง ๔ แต่ต้องมองให้ตลอดด้วยว่า ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับ
พุทธบริษัทที่เป็นอย่างไร
ชาวพุทธจะเป็นผู้มีคุณสมบัติถูกต้องที่จรรโลงพระศาสนาไว้ ก็เริ่มด้วย
มีคัมภีร์ที่จะให้เรียนรู้เข้าใจพระธรรมวินัยอันเป็นของแท้ก่อน
เป็นอันว่า ในแง่นี้พระไตรปิฎกก็เป็นหลักของพุทธบริษัท ต้องอยู่คู่กับ
พุทธบริษัท โดยเป็นฐานให้แก่พุทธบริษัท ซึ่งจะทำให้ชาวพุทธเป็นผู้มี
คุณสมบัติที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้
สองฝ่ายนี้ คือ ตัวคนที่จะรักษาพระศาสนา กับตัวพระศาสนาที่จะต้อง
รักษา ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน พระศาสนาจะดำรงอยู่และจะเกิดผลเป็น
ประโยชน์ ก็ต้องมาปรากฎที่ตัวพุทธบริษัท ๔ ต้องอาศัยพุทธบริษัท ๔ เป็นที่
รักษาไว้ พร้อมกันนั้นใ นเวลาเดียวกัน พุทธบริษัท ๔ จะมีความหมายเป็น
พุทธบริษัทขึ้นมาได้ และจะได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนาก็เพราะมี
ธรรมวินัยที่รักษาไว้ในพระไตรปิฎกเป็นหลักอยู่
ㆍ พระไตรปีฎกกับพระสัทธรรม ๓
อีกแง่หนึ่ง พระพุทธศาสนานี้ ตัวแท้ตัวจริงถ้าสรุปง่ายๆ ก็เป็น ๓ ดังที่
เรียกว่าเป็น สัทธรรม ๓ คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ
ปริยัติ ก็คือพุทธพจน์ที่เรานำมาเล่าเรียนศึกษา ซึ่งอยู่ในพระไตรปิฎก
ถ้าไม่มีพระไตรปิฎก พุทธพจน์ก็ไม่สามารถมาถึงเราได้ เราอาจกล่าวได้ว่า
ปริยัติเป็นผลจากปฏิเวธ และเป็นฐานของการปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงบรรลุผลการปฏิบัติของพระองค์แล้ว จึงทรงนำ
ประสบการณ์ที่เป็นผลจากการปฏิบัติของพระองค์นั้นมาเรียบเรียงร้อยกรอง
สั่งสอนพวกเรา คือทรงสั่งสอนพระธรรมวินัยไว้ คำสั่งสอนของพระองค์นั้น
ก็มาเป็นปริยัติของเรา คือเป็นสิ่งที่เราจะต้องเล่าเรียน แต่ปริยัติที่เป็นผลจาก
ปฏิเวธนั้น หมายถึงปฏิเวธของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ คือผลการปฏิบัติของ
พระพุทธเจ้า และที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับเท่านั้น ไม่เอาผลการปฏิบัติของ
โยคี ฤๅษี ดาบส นักพรต ชีไพร อาจารย์ เจ้าลัทธิ หรือศาสดาอื่นใด
ถ้าไม่ได้เล่าเรียนปริยัติ ไม่รู้หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติ
ของเราก็เขว ก็ผิด ก็เฉไฉ ออกนอกพระพุทธศาสนา ถ้าปฏิบัติผิด ก็ได้ผลที่
ผิด หลอกตัวเองด้วยสิ่งที่พบซึ่งตนหลงเข้าใจผิด ปฏิเวธก็เกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าไม่มีปริยัติเป็นฐาน ปฏิบัติและปฏิเวธก็พลาดหมด เป็นอันว่า
ล้มเหลวไปด้วยกัน
พูดง่ายๆ ว่า จากปฏิเวธของพระพุทธเจ้า ก็มาเป็นปริยัติของเรา แล้ว
เราก็ปฏิบัติตามปริยัตินั้น เมื่อปฏิบัติถูกต้อง ก็บรรลุปฏิเวธอย่างพระพุทธเจ้า
ถ้าวงจรนี้ยังดำเนินไป พระศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ยังคงอยู่
ปริยัติที่มาจากปฏิเวธของพระพุทธเจ้า และเป็นฐานแห่งการปฏิบัติของ
พวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ก็อยู่ในพระไตรปิฎกนี้แหละ
ฉะนั้น มองในแง่นี้ก็ได้ความหมายว่า ถ้าเราจะรักษาปริยัติ ปฏิบัติ
และปฏิเวธไว้ ก็ต้องรักษาพระไตรปิฎกนั่นเอง
ตกลงว่า ในความหมายที่จัดแบ่งตัวพระศาสนาเป็นสัทธรรม ๓ หรือ
บางทีแยกเป็นศาสนา ๒ คือ ปริยัติศาสนา กับ ปฏิบัติศาสนา นั้น รวมความ
ก็อยู่ที่พระไตรปิฎกเป็นฐาน จึงต้องรักษาพระไตรปิฎกไว้ เมื่อรักษา
พระไตรปิฎกได้ ก็รักษาพระพุทธศาสนาได้
ㆍ พระไตรปิฎกกับไตรสิกขา
อีกแง่หนึ่ง เราอาจมองลึกลงไปถึงชั้นที่เอาพระพุทธศาสนาเป็นเนื้อเป็น
ตัวของเรา หรือเป็นชีวิตของแต่ละคน
พระพุทธศาสนาในความหมายที่เป็นแก่นสารแท้ๆ ก็คือผลที่เกิดขึ้น
เป็นความดี เป็นความเจริญก้าวหน้างอกงามขึ้น หรือเป็นการพัฒนาขึ้นของ
ไตรสิกขาในชีวิตของเรานี้เอง
พระพุทธศาสนาชนิดที่เป็นเนื้อเป็นตัวเป็นชีวิตของเรานี้ ก็ต้องอาศัย
พระไตรปิฎกอีกเช่นกัน เพราะว่าพระพุทธศาสนาในความหมายนี้ หมายถึง
การที่สามารถละโลภะ โทสะ โมหะ ได้ การที่จะละ โลภะ โทสะ โมทะ ได้ ก็
ด้วยการปฏิบัติตาม ศีล สมาธิ ปัญญา
อนึ่ง ในการจัดระเบียบหมวดหมู่คำสอนเป็นพระไตรปิฎก ตามที่นิยมสืบ
กันมา จะนำแต่ละปิฎกไปเชื่อมโยงสัมพันธ์กับตรสิกขาแต่ละข้อ ดังนี้
ㆍ พระวินัยปิฎก เป็นแหล่งที่รวมศีลของพระสงฆ์ ทั้งศีล ๒๒๗ ข้อใน
ปาติโมกข์กับศีลนอกปาติโมกข์ พระวินัยปิฎกจึงถือเป็นเรื่องวินัยหรือเรื่องศีล
คือการฝึกหัดพัฒนาพฤติกรรมที่แสดงออกทางกายและวาจา
ㆍ พระสุตตันตปิฏก ความจริงมีครบหมด มีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา แต่
ท่านชี้ให้เห็นจุดเด่นของพระสุตตันตปิฎกว่าเน้นหนักในสมาธ คือ การพัฒนา
ด้านจิตใจ
ㆍ พระอภิธรรมปิฎก เน้นหนักด้านปัญญา พูดอย่างปัจจุบันว่าเป็น
เนื้อหาทางวิชาการล้วนๆ ยกเอาสภาวธรรมที่ละเอียดประณีตลึกซึ้งขึ้นมา
วิเคราะห์วิจัย จึงเป็นเรื่องของปัญญา ต้องใช้ปรีชาญาณอันลึกซึ้ง
ถ้าใครปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎก
ชีวิตของผู้นั้นจะกลายเป็นเหมือนตัวพระพุทธศาสนาเอง เหมือนดังว่าเรา
รักษาพระพุทธศาสนาไว้ด้วยชีวิตของเรา ตราบใดชีวิตเรายังอยู่
พระพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่ เราอยู่ไหน เราเดินไปไหน พระพุทธศาสนาก็อยู่ที่
นั่นและก้าวไปถึงนั่น
อย่างนี้เรียกว่าพระพุทธศาสนาอยู่ด้วยวิธีการรักษาอย่างสูงสุด พูดได้
ว่า พระไตรปิฎกเข้ามาอยู่ในเนื้อตัวของคนแล้ว ไม่ใช่อยู่แค่เป็นตัวหนังสือ
แต่ก่อนจะมาอยู่ในตัวคนได้ ก็ต้องมีคัมภีร์พระไตรปิฎกนี้แหละเป็น
แหล่งบรรจุรักษาไว้ แม้แต่เราจะปฏิบัติให้สูงขึ้นไป เราก็ต้องไปปรึกษาพระ
อาจารย์ที่เรียนมาจากพระไตรปิฎก หรือจากอาจารย์ที่เรียนต่อมาจากอาจารย์
รุ่นก่อนที่เรียนมาจากพระไตรปิฎก ซึ่งอาจจะถ่ายต่อกันมาหลายสิบทอด ถ้า
เราอ่านภาษาบาลีได้ ก็ไปด้นพระไตรปิฎกเอง ถ้าไม่ได้ ก็ไปถามพระอาจารย์ผู้รู้
ให้ท่านช่วยค้นให้ เมื่อค้นได้ความรู้ในหลักคำสอนมาแล้ว เราก็สามารถปฏิบัติ
ถูกต้อง ให้เจริญงอกงามในศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่งๆ ขึ้นไป
สรุปว่า เราชาวพุทธอิงอาศัยพระไตรปิฎกโดยตรง ด้วยการนำหลักคำ
สอนมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตจริง
บทความ จาก หนังสือ เรื่อง : พระไตรปิฎก สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
อ่านรายละเอียดหนังสือเล่มนี้ เพิ่มเติมได้ที่
http://www.trilakbooks.com/product/1208184/พระไตรปิฎก-สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้-พระพรหมคุณาภรณ์-ราคาธรรมทาน27บาท.html
|